ไหนจะมี ลักษณะของไม้อีกที่แยกลงไปอีก เช่น ไม้ไผ่ (Bamboo) ไม้ฮิกกอรี่ (Hickory) ไม้คาบอน (Cabon-fiber) ไม้เวียนนีส (Viennese)
กลับมาที่ไม้ สังเกตว่าการจับไม้แบบหงายมือขึ้นนั้น ไม้ที่ใหญ่ที่ใช้ มักจะเป็นไม้แบบ Kart wheel เพราะหัวสักหลาดจะถูกเย็บบนไม้อย่างเห็นได้ชัด
ไม้หัว Kart Wheel ยี่ห้อ Cloyd Duff เบอร์ 2
เมื่อไม้มันมีลักษณะแบบนั้น ทำให้มันเหมาะสำหรับคนที่จับไม้แบบหงายมือมากกว่า เพราะหัวไม้มันถูกออกแบบมาให้จับไม้ตลอดเวลา ซึ่งลองนึกภาพตาม เวลาเราตีทิมปานีนั้นไม้มันจะหมุนไปเรื่อยๆ ซึ่งพอใช้กับหัวอื่นๆ มันจะไม่มีปัญหา แต่มันจะมีปัญหากับไม้ Kart wheel ที่มีรอยเย็บตรงกลางไม้ หากรอยเย็บไปโดนหนังกลองเสียงจะแข็งขึ้น
แต่ข้อดีอย่างหนึ่งสำหรับการจับไม้หงายมือนั้น คือ สามารถจับไม้ชนิดไหนก็ได้ตี เช่น คุณจะใช้หัวบอลก็ได้ หัว Flannel ก็ดี แต่กลับกันถ้าคุณจับคว่ำ มันก็ตีได้แหละ แต่มันจะมีปัญหากับรอยเย็บที่ไม้
ซึ่งในปัจจุบันบ้านเรานั้น เห็นคนจับไม้ลักษณะนี้น้อยลงไปทุกที ถ้าให้นับคนที่ยังจับไม้แบบนี้ตี ไม่นับคนที่เปลี่ยนหรือกลายพันธุ์ไปเรื่อย ผมนับได้ไม่เกิน 5 คน (1 ในนั้นคือผมเอง)
จริงๆอยากให้ทุกคนลองเปิดใจกับไม้ Kart Wheel เพราะถ้าไม่นับเรื่องการจับไม้ ผมรู้สึกว่าเป็นไม้ที่คาแร็คเตอร์ของเสียงนั้นชัดเจนมาก ในแต่ละคู่ เพราะถ้าเทียบกับไม้หัวบอลนั้น มันแทบจะไม่ต้องปั้นเสียงอะไรเลย แค่ตีลงไปตรงๆ แต่ข้อเสียนั้นก็คือ ไม้ไม่สามารถผลิตเสียงได้หลากหลายเท่าหัวบอล
สำหรับไม้หัวบอล มีหลายเกรด หลายรุ่น หลายยี่ห้อมากๆ ในบ้านเราหัวบอลที่ได้รับความนิยมนั้น มี 4 ยี่ห้อใหญ่ๆ ได้แก่ Playwood, JG Percussion, Kato, David Morbey
ซึ่ง 4 ยี่ห้อนี้มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในเรื่องของ Character ลองดูว่าเป็นไม้ประเทศไหนบ้าง
1.Playwood, Kato เป็นไม้ญี่ปุ่น ที่ลักษณะการตีของคนส่วนใหญ่จะเป็นแนวคว่ำมือ (ออกทางเยอรมัน)
2.JG Percussion เป็นไม้อเมริกา ที่ลักษณะการตีของคนส่วนใหญ่จะเป็นแนวหงายมือ
3.David Morbey เป็นไม้อังกฤษ ที่ลักษณะการตีของคนอังกฤษนั้น มักจะไม่เล่นท่าเยอะ แต่เสียงทรงพลัง
"เพราะไม้มันถูกออกแบบมาอย่างนั้น" อันนี้เป็นความจริงที่ผมได้เรียนรู้เอง จากที่ได้มีโอกาสลองตีมาทุกยี่ห้อ และอีกหลายยี่ห้อที่ไม่ได้พูดถึง แต่อยู่ใน 3 ประเทศนี้ ซึ่งไอเดียพอกันเป๊ะ
ส่วนตัวผมเองนั้นจับทั้งแบบหงายมือและคว่ำ รวมถึงแบบ Viennese ที่จะอยู่ในหมวดคว่ำมือ แต่การขยับจะแตกต่างออกไปนิดหน่อย
แบบพื้นฐานที่ผมจับนั้นคือหงายมือ และใช้ไม้ Kartwheel เป็นหลัก ซึ่งเมื่อผมต้องการเสียงที่นุ่ม มีน้ำหนัก, ชัดขึ้น, บางลง ผมเลือกที่จะเปลี่ยนไม้เป็นหลัก จะไม่เปลี่ยนที่มือหากไม้จำเป็น เพราะการขยับสำหรับ Grip นี้ มีเพียง นิ้ว ข้อมือ ข้อศอก จะไม่ขยับมากกว่านี้ เพราะตัวผมเองคอนโทรลไม่ได้แล้ว นอกจากต้องเปลี่ยน grip เท่านั้น
นอกจากนี้ผมยังใช้ไม้หัวบอลยี่ห้อ JG Percussion รุ่น Joseph Pereira
ที่เลือกใช้รุ่นนี้เพราะว่า มันแมชกับ Grip นี้ที่สุด
ที่กล้าบอกแบบนี้เพราะ ลักษณะของหัวไม้นั้น มองภายนอกอาจจะเหมือนยี่ห้ออื่นๆ แต่ด้านในนั้น ชั้นของ Felt (สักหลาด) ไม่หนาจนเกินไปเมื่อเทียบกับ playwood หรือ kato ทำให้การจับไม้แบบหงายมือ ที่เวลายกไม้ แค่ระดับข้อศอก ทำให้ได้เสียงที่ต้องการมาเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องยกยันหัวไหล่ เพื่อให้เสียงที่เต็มๆออกมา เหมือนยี่ห้ออื่นๆ นี่คือสาเหตุที่ผมเลือกใช้
ถึงแม้บางครั้งผมใช้ kato บางเพราะต้องการเสียงนุ่มๆ ที่ kartwheel ทำไม่ได้ แต่ผมจะใช้เฉพาะ ต้องการเสียงนุ่มและบางเท่านั้น
ผมได้มีโอกาสไปเรียนที่ University of Music and Performing Arts Vienna ประเทศออสเตรีย ซึ่งที่นี่มีสไตล์ทิมปานีของตัวเองที่มีชื่อว่า Viennese Style เพราะทิมปานีที่เขาใช้นั้นเรียกว่า Wiener Pauken หรือ Schellar Timpani ทีมีลักษณะการเปลี่ยนเสียงโดยใช้มือหมุนเท่านั้น และหนังทำจากหนังแพะ ที่มีความหนาพอสมควร
และสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างคือไม้ Viennese timpani ได้แก่ยี่ห้อ Steiner, Fromme (ปัจจุบัน Steiner ซือกิจการไปแล้ว), Karftmann ซึ่งลักษณะไม้จะเล็กกว่าไม้ Kartwheel และ สั้นกว่า รวมถึงหัวไม้แบบปกติจะเป็น Flannel คือการเอาผ้าสักหลาดมาอัดรวมกันหลายๆชั้น หรือแบบ Felt ปกติก็มี แต่จะไม่เหมือนกับ kartwheel
สิ่งที่ผมแปลกใจก็คือไม้เล็กขนาดนี้ บวกกับทิมปานีที่หนังมันหนาพอสมควร (ตีออกยากกว่าทิมปกติ) เข้าตีกันออกได้อย่างไร? เพราะเวลาตีเขาใช้ทั้งแขนตีลงไป แต่จับไม้แบบสบายมาก ไม่รวมถึงตีเบาๆหรือต้องการเสียงชัด แน่นอนเขาใช้ข้อมือปกติเหมือนทั่วๆไป แต่เมื่อต้องการเสียงที่ใหญ่ จะตีเหมือนเราหวดลงไป แต่เสียงไม่แตกออกมา มันพอดีมากๆ เพราะจับไม้ไม่แน่น
ทำให้ไม้ที่เขาผลิตออกมานั้นแมชกับการตีลักษณะการตีแบบนี้
แน่นอนว่าเขาก็ใช้ทิมปานีปกติแบบบ้านเราเช่นกัน รวมถึงหนังพลาสติก แต่ไม้และการตีเขาก็ตีกันเหมือนเดิม ซึ่งผมลองเอามาตีที่บ้านเรา เสียงมันก็ดีนะ แต่มันเหมาะกับไม้แบบนี้เท่านั้น ถ้าใช้ไปใช้ไม้หัวกลมหรือ kartwheel ที่ทั้งหัวไม้และด้ามไม้มันยาวและใหญ่กว่ามาก การตีลักษณะแบบนี้ก็อาจจะไม่เหมาะกับไม้อื่นๆสักเท่าไหร่
นอกเหนือจากนี้พวกไม้ตระกูล Flannel นั้น ก็มีในไม้ที่มีด้ามเป็นไม้ไผ่ เช่นกัน ยี่ห้อ JG, Kato, Playwood มีหมด ยังมีในยี่ห้อ Freer, Picade อีกเช่นกัน ส่วนตัวถ้าไม่ใช่ด้ามแบบ Viennese ผมจะใช้ต่อเมื่อเล่นเพลงโซโล่ที่ต้องการความชัด แต่ไม่กระแทกจนเกินไป และจะเป็นยี่ห้อไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับความฮาดของไม้ในแต่ละรุ่น (ได้ทุกยี่ห้อ ไม่เกี่ยง)
และไม้หัวประหลาดทั้งหลายเช่น หัวไม้ หัวสัดหลาดแข็ง อันนี้ผมดูที่น้ำหนักของไม้เป็นหลัก เพราะหัวไม้มันมันฮาดมากๆแล้ว ด้ามยิ่งหนักเข้าไปอีกผมว่ามันค่อนข้างจะรุนแรงไปหน่อย เลยชอบไม้ที่มีน้ำหนักปานกลางจนถึงเบา เช่น Freer Baroque ที่เป็นหัวไม้และด้ามจับสั้น ทำให้คอนโทรลไม้ได้ง่าย
แต่ในขณะเดียวกัน สำหรับไม้สักหลาดแข็ง ผมใช้ Freer รุ่น C-2H “EXTRA HARD ที่ด้ามจับเป็นก้านคาบอนไฟเบอร์ ที่มีน้ำหนักพอดีและมีความเด้งพอสมควร ยิ่งเป็นไม้ลักษณะ Kart wheel ทำให้ผมชอบตั้งแต่แรกเจอ และยังอยู่จนถึงทุกวันนี้
สำหรับ Repertories ที่ผมนิยมใช้กับไม้พวกนี้นั้น แน่นอนเป็นเพลงพวก Mozart, Beethoven นั่นเอง
ในส่วนของไม้ David Morbey นั้น เป็นอีกไม้ที่ผมชอบมากๆ เพราะชั้นของสักหลาดนั้น บางว่า JG หลายเท่า พูดง่ายๆคือ เสียงถึงไวมาก แทบไม่ต้องปั้นเลย แต่ข้อเสียผมรู้สึกว่าเสียงมันถึงเยอะเกินไป ไม่ใช่ว่าไม่ดี มันดีมากๆ แต่ผมรู้สึกว่าเสียงมันถึงไวไปหน่อย บวกกับตัวเลือกของลักษณะด้านของไม้นั้นมีเยอะเกินไป รวมถึงมีราคาแพงเหมือนเทียบกับยี่ห้อ JG ทำให้ผมไม่เลือกที่จะซื้อมาใช้
ถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่ายี่ห้อ Playwood กับ Kato ไม่ดียังไง
ต้องบอกว่ามันดีครับ แต่คุณต้องมีเทคนิคในการเล่นและเข้าใจในมันจริงๆ ซึ่งในบ้านเรานอกจากระดับอาจารย์แล้ว ผมไม่เคยเห็นใครเก็ตในไม้นี้จริงๆสักคน
ที่พูดแบบนี้เพราะว่า เวลาเห็นใครใช้ไม้ 2 ยี่ห้อนี้ตี ผมจะได้ยินเสียงสักหลาดจากไม้เยอะมากๆ แทบไม่ได้ยินเสียงจากตัวถังกลองเลย เมื่อเทียบกับไม้ JG หรือ Morbey
เพราะว่าไม้นี้ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ที่จับไม้แบบคว่ำมือ ไปทางเยอรมัน จะสักเกตได้ว่าไม้ kato นั้นนิยมมากในฝั่งของยุโรป เพราะ
1.คนยุโรปตัวใหญ่ มือใหญ่ ไม่เหมือนคนเอเชีย
2.คนยุโรปมักใช้แขนตีลงไป ทำให้เสียงออกมาเต็ม
3.ย้อนกลับไปข้อ 2 ทำให้ต้องผลิตไม้ที่มีสักหลาดเยอะ เพื่อรองรับกับการตีแบบนี้
ถ้าคุณเข้าใจ 3 ข้อนี้ ก็จะเข้าใจว่าเด็กบ้านเราเวลาตี เสียงถึงออกมาไม่เต็มที่กับไม้
บางคนอาจจะบอกว่า ไม้มันใหม่ ต้องรอให้สักหลาดมันขยายออกมาก่อน เสียงถึงจะดี
ก็ใช่และไม่ใช่ กรณีไม้ที่เพิ่งซื้อมาใหม่นั้น โอเคต้องใช้เวลา แต่หลายคนที่ผมได้มีโอกาสฟัง ไม้ก็ซื้อมาสักพักใหญ่ๆแล้ว เสียงก็ยังไม่เต็มอยู่ดี
สำหรับไม้ที่มีขายในบ้านเรานั้นจะมียี่ห้อ Vic Firth, Promark, Adams, Salyers
ซึ่งเป็นยี่ห้อและรุ่นพื้นฐานสำหรับนักเรียนหรือผู้เริ่มต้น ถามว่ามันโอเคไหม
ผมขอตอบว่าอยู่ในระดับ พอใช้ได้ มันไม่ได้ถึงขั้นแย่หรือใช้ไม่ได้เลย
ยกตัวอย่างของยี่ห้อ Vic Firth ที่บ้านเรามีขายอยู่หลายรุ่น มีทั้งสำหรับ Concert และ Marching ซึ่งแน่นอนว่ารุ่น Concert นั้น หากเรานึกดีๆ มันก็เป็นไม้ที่ไม่ได้แย่เลย ถ้าเราได้ลองใช้หลายๆคู่ เช่นรุ่น Tim Genis แต่เราดันไปติดภาพเพียงไม่กี่คู่ของรุ่นนี้ บวกกับค่านิยมว่าเป็นไม้ราคาถูก (ซึ่งจริง) แต่ถ้าเรามีครบเซ็ทหรือหลายเบอร์ มันก็เป็นไม้อีกรุ่นที่ เหมาะสำหรับการเริ่มต้นที่ดีมากๆ และเผลอๆใช้ได้ยันวงอาชีพเลยแหละ
เมืองนอกใช้หนังสัตว์เป็นส่วนใหญ่ (เฉพาะวงใหญ่ๆนะ วงนักเรียนก็พลาสติกเหมือนบ้านเรานี่แหละ) เสียงของหนังสัตว์นั้นมีความไพเราะกว่าหนังพลาสติกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บางคนอาจจะไม่ชอบ แต่จากประสบการณ์นั้น เสียงมีความกังวานและเต็มกว่าพลาสติก จึงไม่แปลกที่เมืองนอกเขานิยมใช้ และทำไมเขาใช้ไม้แบบนี้ถึงเพียงพอ
กลับมาในฝั่งของบ้านเรานั้น แน่นอนมีแต่หนังพลาสติก และตามสไตล์ว่านานๆทีจะเปลี่ยนหนังใหม่ บางที่อาจจะโชคดีพอที่มีงบเปลี่ยนหนัง แต่หลายๆที่นั้นไม่โชคดี นอกจากจะมีงานแข่งหรือมีงบ หรือตีจนแตกแล้ว ถึงมึโอกาสได้เปลี่ยน แล้วแต่สภาพของแต่ละที่ อันนี้ไม่ว่ากัน แต่สำหรับพวกเรานั้นก็เป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะต่อให้ไม้จะดี แพงแค่ไหน แต่ถ้าเจอหนังสภาพแย่ๆ ปั้นเข้าไปเถอะ เสียงยังไงก็ไม่ดีเท่าหนังที่สภาพ พอใช้ได้จนถึงดีมาก
แต่ในฐานะที่เราเป็นนักเรียนหรือมีความฝันอยากเป็นนักทิมปานีระดับประเทศหรือโลก ดังนั้นเราจึงต้องยกระดับจากตัวเราเองก่อน ย้อนกลับไปบนสุดที่ผมบอกว่า สำหรับนักเรียนควรจะมีไม้ 3 คู่
แต่ถ้าสำหรับคนที่จริงจัง บอกเลยว่าไม่พอ เพราะถ้าคุณอยากจะเป็นนักทิมปานี คุณต้องมีไม้ที่คุณสามารถเลือกเสียงที่คุณต้องการได้แทบทุกแบบ ผมไม่ได้บอกว่าคุณต้องมีไม้ 20-30 คู่ แต่ผมบอกว่าคุณต้องมีไม้ที่เวลาคุณต้องเล่นเพลงอะไร สไตล์ไหน ไม้ที่คุณมีต้องตอบโจทย์ หรือมือของคุณต้องปรับสภาพตามไม้ที่คุณมีให้ได้
บางคนเป็นสายอุปกรณ์ (เช่นผม) หรือสายเปลี่ยนที่มือ จากประสบการณ์ที่เจอพวกสายเปลี่ยนมือนั้นมักจะยืมไม้คนอื่นเสมอ (ผมเรียก สายยืม) ผมไม่ได้ซื้อไม้ตูมเดียว 30 คู่ แต่อาศัยจังหวะที่ค่อยๆเก็บที่ละคู่ 2 คู่ หรือซื้อต่อคนอื่น (เกิน 70% ของไม้ผมเป็นไม้ที่ซื้อต่อมาทั้งสิ้น) จนรู้สึกว่าตอนนี้มีไม้เพียงพอสำหรับเสียงที่ต้องการ ณ เวลานี้ ซึ่งในอนาคตคงจะซื้อเพิ่มแน่ๆ
ในส่วนของ instruments choice นั้น บ้านเรามีทิมปานีให้เลือก ไม่เยอะมากนัก ส่วนใหญ่มักจะใช้แบบ Balance Action เป็นส่วนใหญ่ ส่วนแบบ Clutch Pedal จะเห็นแค่ในวง RBSO และ TPO เท่านั้น
ในมหาวิทยาลัยมีเพียงม.มหิดลเท่านั้นทีมีทิมปานีลักษณะนี้
ข้อดีของ Clutch Pedal ผมคงยกให้เรื่องเดียว คือการล็อคเสียง pitch เพราะหากเราจะเปลี่ยนเสียงเราต้องปลดล็อคเพเดิ้ลก่อน ทำให้เสียงจะยังคงที่อยู่ที่เดิม ในขณะที่หากเราใช้ Balance Action นั้น เพเดิ้ลอาจจะขยับได้หากเราตีดังมากๆ นั่นเอง
ในเรื่องของเสียงนั้นผมว่าความแตกต่างนั้นไม่ได้อยู่ที่ระบบแป้นเหยียบ แต่อยู่ที่ลักษณะของตัวถังมากกว่า ว่ามีความหนาแค่ไหน ตัวถังนั้น hammered (ทุบ) หรือไม่ ซึ่งทิมปานีระบบคลัชส่วนใหญ่เสียงจะดีเป็นพิเศษ เพราะเป็นทิมปานีรุ่นท็อปอะนะ รุ่น balance action ก็เป็นรุ่นรองลงมา
ซึ่งจากที่สัมผัสมา ทิมปานี Balance action ที่เสียงโอเคที่สุดผมยกให้ Ludwig
เพราะ Ludwig เป็นทิมปานีของอเมริกา จะใช้หลักการเดียวกับไม้ทิมจากอเมริกา เพราะการจับไม้แบบอเมริกาคือ การจับแบบหงาย เขาถึงออกแบบไม้มาเพื่อแมชกับกริบ คือทำให้เสียงนั้นพุ่งออกมาได้ง่ากว่าหัวบอลนั้นเอง ทิมปานีจึงใช้หลักการเดียวกัน (อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว)
ในเรื่องสุดท้ายคงพูดถึงหนัง บ้านเรามีให้เลือกเพียง 2 ยี่ห้อเท่านั้น ได้แก่ Remo, Evans ซึ่งทั้ง 2 ยี่ห้อนี้ก็มีรุ่นเพียงพอการเลือกซื้อ เช่นหนังใส หนังขาว หนังเลียนแบบหนังสัตว์
ซึ่งผมคงแนะนำให้ใช้ Remo รุ่น Renaissance เท่านั้น เพราะ เสียงมีความอุ่น กังวาน ไม่ป๊องเหมือนหนังใสหรือหนังขาว ในขณะที่ฝั่งของ Evans จะมีรุ่น Strata ที่มีลักษณะคล้ายๆกัน แต่ข้อเสียของ Evans ที่หนังเคลือบทุกรุ่นของยี่ห้อนี้เป็นคือ เหนียวและลอก
อันนี้เป็นสิ่งที่หลายๆคนเจอแล้วแน่นอน และผมก็เจอบ่อยด้วย ซึ่งผมไม่ชอบเลย เพราะพอหนังมันลอกแปลว่าคุณภาพของเสียงนั้นลดลง รวมถึงสารที่เคลือบมันติดไม้มาด้วย ถ้าโชคดีหน่อย ทิมปานีอยู่แต่ในห้องที่ไม่ร้อน อาจจะลอกช้าหน่อย แต่ถ้าต้องนำไปเล่นข้างนอก ตากแดด ผมบอกเลยว่าไม่รอด เพราะอากาศบ้านเรานั้นร้อนและชื้น ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรอดจากอาการนี้
จึงเป็นเหตุผลที่ผมเลือกใช้ Remo ไม่ใช่เพียงแค่หนังทิมปานีเท่านั้น เพราะมีความรู้สึกว่ามันคงทนกว่า ในเรื่องของ Pitch นั้นผมว่าอยู่ที่การจูนของเรามากกว่า
สรุป
การเลือกไม้ทิมปานีนั้นมีปัจจัยหลักแบบที่เรารู้กันได้แก่
1.เพลงที่เราเล่น ต้องการเสียงแบบไหน ไม่ต้องเอาสไตล์ของเสียงก็ได้ แต่มันควรจะเป็นเสียงแบบไหน
2.วงที่เราเล่น ขนาดวงเล็กใหญ่แค่ไหน หรือ ถ้าต้องเล่นคนเดียวก็กลับไปที่ข้อแรก
แต่ตัวผมอยากจะเพิ่มให้หน่อยคือ
1.สไตล์การเล่นของเรามันแมชกับไม้นี้ไหม ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือปัญหาใหญ่ เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับไม้แบบใด แน่นอนบางคนอาจจะบอกว่า มันก็จับคว่ำจับหงายเหมือนๆกันอะ แต่อย่าลืมว่าสุดท้าย ตัวเรานั้นไม่มีทางเล่นเหมือนกับอาจารย์เราได้100% แน่นอน แค่เรื่องของการใช้ร่างกายหรือสรีระ ประสบการร์ของแต่ละคนจะทำให้การตีของเราไม่เหมือนกันแน่นอน ดังนั้นจึงควรเลือกไม้ที่เหมาะกับตัวเรา และ
2.เลือกไม้ที่เราชอบ ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวไป แน่นอนว่าเป็นเพียงแค่ความเห็นจากประสบการณ์ของผม ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เหมือนใครแน่นอน อย่างที่บอกว่าประสบการณ์ของเรา ของอาจารย์ ของเพื่อนเรา เจอมาแตกต่างกัน ซึ่งแต่ละคนมีความชอบไม่ชอบที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสุดท้ายก็อยู่ที่เรานั่นเอง
ep.ต่อไป จะมาพูดเรื่องสแนร์กันนะครับ บอกเลยมันส์แน่ๆ
ปล. ถ้านึกอะไรออกจะมาอัพเดทเรื่อยๆนะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น